การวางเเผนดูเเลสุขภาพ



การวางแผนดูแลสุขภาพ  การมีสุขภาพที่ดีเป็นสิ่งที่ทุกคนปรารถนา แต่เราจะมีสุขภาพที่ดีได้นั้นเกิดจากความเอาใจใส่ในสุขภาพของตนเองอย่างสม่ำเสมอ โดยต้องรู้จักการวางแผนดูแลสุขภาพของตนเอง ทั้งสุขภาพกาย จิตใจ อารมณ์ และปัญญา รวมทั้งการมีจิตวิญญาณที่สมบูรณ์ ดังนั้น นักเรียนจึงต้องมีความรู้ ความเข้าใจเรื่องการวางแผนดูแลสุขภาพตนเอง โดยเรียนรู้ปัจจัยที่มีผลต่อการเจริญเติบโตและพัฒนาการของตนเอง เพื่อจะได้สร้างเสริมสุขภาพตามการเจริญเติบโตและพัฒนาการตามวัยอย่างถูกต้องจนเกิดสุขภาพที่ดีตามมา

ความหมายและความสำคัญของการวางแผนดูแลสุขภาพตนเอง  การวางแผนดูแลสุขภาพตนเอง หมายถึง การกำหนดแนวทางในการเลือกรูปแบบการปฏิบัติตนเพื่อการดูแลสุขภาพของตนเอง ซึ่งนำมาสู่สุขภาวะที่สมบูรณ์ทั้งร่ายกาย จิตใจ อารมณ์ สังคมและปัญญา  การวางแผนดูแลสุขภาพของตนเองมีความสำคัญที่ทุกคนควรปฏิบัติ เพราะเมื่อทุกคนรู้จักวางแผนดูแลสุขภาพของตนเองแล้วย่อมเกิดสุขภาพที่ดี ลดการเจ็บป่วย สามารถเรียนหนังสือ ทำงานหรือปฏิบัติหน้าที่ของตนเองได้อย่างมีประสิทธิภาพ อีกทั้งยังช่วยลดค่าใช้จ่ายในการรักษาพยาบาลช่วยในเรื่องของเศรษฐกิจของประเทศชาติโดยรวม เพราะเมื่อประชาชนทุกคนของประเทศชาติรู้จักดูแลสุขภาพตนเองอย่างถูกต้องแล้ว สุขภาพของบุคคลในชุมชนและสังคมก็จะดีตามมา ส่งผลต่อการเป็นประชากรของประเทศที่มีคุณภาพ

คุณค่าของการวางแผนดูแลสุขภาพของบุคคลในครอบครัว  คำว่า “สุขภาพดี” ในแต่ละคนนั้นอาจแตกต่างกันออกไปตามแต่สภาวะสังคม หรือรูปแบบของวิถีชีวิตที่แตกต่างกัน แต่โดยรวมแล้วสุขภาพดีอย่างน้อยจะต้องหมายถึง ความสมบูรณ์ของทั้งร่างกายและจิตใจ ซึ่งสิ่งที่เกิดขึ้นนี้จะเกิดได้เนื่องจากการดูแลเอาใจใส่ระบบต่างๆ ที่สำคัญของร่างกาย

การที่จะมีสุขภาพดีได้นั้น ไม่ว่าจะเป็นสุขภาพของตนเองหรือของบุคคลในครอบครัว ไม่ใช่เป็นสิ่งเกิดขึ้นได้ด้วยความบังเอิญ หากแต่จำเป็นที่จะต้องมีการวางแผนในการดูแลสุขภาพล่วงหน้าซึ่งจะช่วยให้เกิดผลดี ดังนี้   

1.สามารถที่จะกำหนดวิธีการหรือเลือกรูปแบบที่เหมาะสมกับการดำเนินชีวิตของตัวเราเองหรือบุคคลในครอบครัวได้อย่างเหมาะสม  

2.สามารถที่จะกำหนดช่วงเวลาในการดูแลสุขภาพได้อย่างเหมาะสม อาจจะมีกิจกรรมการออกกำลังกายในช่วงเช้า หรือในบางครอบครัวอาจจะมีเวลาว่างในช่วงเย็น ก็อาจจะกำหนดกิจกรรมการส่งเสริมสุขภาพในช่วงเย็นก็ได้ หรืออาจจะกำหนดช่วงเวลาในการตรวจสุขภาพประจำปีของบุคคลในครอบครัวได้อย่างเหมาะสม •    

 3.เป็นการเฝ้าระวังสุขภาพทั้งของตนเองและบุคคลในครอบครัว ไม่ให้ป่วยด้วยโรคต่างๆ นับว่าเป็นการสร้างสุขภาพ ซึ่งจะดีกว่าการที่จะต้องมาซ่อมสุขภาพ หรือการรักษาพยาบาลในภายหลัง  

4.ช่วยในการวางแผนเรื่องของเศรษฐกิจและการเงินในครอบครัว เนื่องจากไม่ต้องใช้จ่ายเงินไปในการรักษาพยาบาล  

5.ส่งเสริมสุขภาพทั้งของตนเองและบุคคลในครอบครัว  ทำให้คุณภาพชีวิตทั้งของตนเองและสมาชิกในครอบครัวดีขึ้น  

6.หลักในการวางแผนดูแลสุขภาพของบุคคลในครอบครัว  การสำรวจรูปแบบการดำเนินชีวิตของสมาชิกในครอบครัวว่าเป็นอย่างไร เนื่องจากการดูแลสุขภาพของบุคคลในครอบครัวนั้น ไม่ใช่เป็นการดำเนินงานโดยบุคคลใดบุคคลหนึ่งเพียงคนเดียวแล้วจะประสบความสำเร็จ หากแต่ต้องอาศัยความร่วมมือร่วมใจของสมาชิกในครอบครัวเป็นสำคัญ 

7. จากข้อมูลที่ได้ นำมากำหนดเป็นแผนการในการที่จะดูแลสุขภาพของสมาชิกในครอบครัวโดยการกำหนดเป็นแผนในการดูแลสุขภาพซึ่งอาจจะทำแยกเป็นรายบุคคล หรืออาจจะทำเป็นภาพรวมของทุกคนในครอบครัว 

8. เมื่อกำหนดแผนในการดูแลสุขภาพของสมาชิกในครอบครัวได้แล้ว ก็ดำเนินตามแผนที่วางไว้ และประเมินผลเป็นระยะๆ ว่าบุคคลในครอบครัวสามารถปฏิบัติตามแผนในการดูแลสุขภาพที่วางไว้ได้หรือไม่ อย่างไร  

9.หากพบว่าไม่สามารถปฏิบัติตามแผนที่วางไว้ได้ ก็นำข้อมูลมาวิเคราะห์ใหม่ ว่าเกิดจากปัจจัยใด และลองปรับเปลี่ยนแผนให้เหมาะสมกับสมาชิกในครอบครัวของเราให้มากที่สุด

 

การดูแลสุขภาพตนเอง     การรู้จักและสร้างนิสัยที่ดีในการเสริมสร้างสุขภาพหรือดูแลสุขภาพของตนเองให้สมบูรณ์ แข็งแรง ทั้งกายและใจ อารมณ์และปราศจากโรคภัยไข้เจ็บ เป็นจุดเริ่มต้นที่ดี เพราะถ้าตัวเองมีวินัยเรื่องสุขภาพมีความรู้เรื่องสุขภาพก็จะเป็นผลดีต่อทุกๆด้านซึ่งการดูแลสุขภาพของคนนั้นพัฒนาตามวัย ได้แก่ วัยทารก วัยเด็ก วัยรุ่น วัยผู้ใหญ่ และวัยสูงอายุ โดยต้องดูแลแตกต่างกันไป การดูแลสุขภาพแบบองค์รวมที่ดีสามารถทำได้ดังนี้     

 – ออกกำลังกายสม่ำเสมควรออกกำลังกายอย่างถูกวิธีของการออกกำลังกาย สัปดาห์ละ ๓-๕ วัน จะทำให้ร่างกายแข็งแรงจิตใจแจ่มใส และช่วยสร้างภูมิคุ้มกัน ป้องกันโรคได้เป็นอย่างดี เช่น โรคหัวใจ โรคเบาหวาน โรคภูมิแพ้     

การรับประทานอาหารที่ถูกต้อง รับประทานอาหารให้เพียงพอต่อความต้องการของร่างกาย มีอาหารครบถ้วนทั้ง ๕ หมู่ เสริมด้วยผักผลไม้ทุกๆมื้อ เพื่อช่วยการทำงานของระบบขับถ่าย ช่วยเสริมสร้างสมอง ช่วยป้องกันโรคอ้วน เบาหวน มะเร็ง สมองเสื่อม  

 – การพักผ่อนและการนันทนาการ การพักผ่อนเป็นการสร้างภูมิต้านทานโรคเป็นการผ่อนคลายความเครียดจากการทำงาน เป็นการพักการทำงานของกล้ามเนื้อให้ลดการทำงานหนักๆ เพื่อฟื้นคืนสู่สภาพปกติ การพักผ่อนมีหลายวิธี รวมถึงการเข้าร่วมกิจกรรมนันทนาการ แต่การพักผ่อนวิธีที่ดีที่สุด คือการพักผ่อนตอนกลางคืน วันละ ๖-๘ ชม.     

หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยง หมายถึง หลีกเลี่ยงพฤติกรรมเสี่ยงที่บ่อนทำลายสุขภาพ หรือเป็นสาเหตุของการที่จะเกิดอุบัติภัยและภัยอันตราย เช่น การดื่มสุรา การสูบบุหรี่ การเสพสารเสพติดที่จะเป็นตัวทำลายระบบประสาทและสมอง การสำส่อนทางเพศและพฤติกรรมประมาท     

สร้างทักษะในชีวิตเพื่อการอยู่ร่วมกันอย่างสันติ การใช้ชีวิตร่วมกันในครอบครัวต้องมีการช่วยเหลือเกื้อกูลกันในทุกด้าน ไม่ว่าจะเป็นด้านการศึกษา สาธารณสุขหรือความเป็นอยู่ทั่วไป ซึ่งต้องเน้นการอยู่ร่วมกันอย่างมีความสุขมีความสามารถที่จะเผชิญเหตุการณ์ต่างๆทางสังคมที่เป็นลบ เช่น การมั่วสุมสารเสพติด หรือ การถูกชักชวนให้มีพฤติกรรมเสี่ยงได้อย่างเหมาะสม โดยอาศัยทักษะที่จำเป็น เช่น ทักษะในการจัดการกับความขัดแย้งในครอบครัว    

 – การมีพัฒนาการทางด้านปัญญา ซึ่งมีวิธีหลากหลายที่จะช่วยให้บุคคลและความเห็นแก่ตัว มุ่งเข้าถึงความดี เช่น การศึกษา การเล่นกีฬา การศาสนา การรวมกลุ่ม การเจริญภาวนา การสัมผัสธรรมชาติ เป็นต้น ที่จะทำให้เข้าถึงความสุขทางปัญญาทำให้สุขภาพจิตดี ซึ่งจะส่งผลต่อการมีสุขภาพดีตามมา      

มีการเรียนรู้ที่ดี เช่น การอ่านหนังสือ เรียนภาษาอังกฤษออนไลน์ ก็เป็นกิจกรรมที่ทำให้เกิดความสนุก ทำให้เกิดปัญญา เกิดความคิด ความสุข สร้างแรงจูงใจที่จะเรียนรู้สิ่งต่างๆ มากขึ้น     

การจัดสิ่งแวดล้อมให้เกื้อกูลต่อสุขภาพ ทั้งทางกายภาพ ทางชีวภาพ และทางสังคม สามารถทำได้ เช่น การมีสุขาภิบาลที่ดีสิ่งแวดล้อมที่สะอาดปราศจากมลพิษ ปราศจากแหล่งเพาะพันธุ์พาหะนำโรค การมีสัมพันธภาพและมิตรไมตรีต่อกัน    

 ครอบครัวเป็นสังคมเล็กๆ สังคมหนึ่ง มีสมาชิกเพียงแค่พ่อ แม่ ลูก หรือเป็นสังคมของกลุ่มญาติอันประกอบด้วยบิดา มารดา ปู่ ย่า ตา ยาย ลูก ซึ่งสมาชิกในครอบครัวจะมีบทบาทหน้าที่ต่างกัน แต่ทุกคนต้องมีความห่วงใย มีความรัก เอื้ออาทรซึ่งกันและกัน ให้ความช่วยเหลือดูแลกันเป็นอย่างดี โดยเฉพาะด้านการดูแลสุขภาพ แต่ละคนมีหน้าที่ดูแลสุขภาพตนเองให้แข็งแรง ซึ่งเมื่อทุกคนต่างก็ดูแลสุขภาพตนเองไม่ให้เจ็บไข้แล้ว สุขภาพส่วนรวมหรือสุขภาพของครอบครัวก็จะแข็งแรงสมบูรณ์ตามไปด้วย






7 วิธีดูแลสุขภาพกายและใจเพื่อชีวิตสดใส



หลายคนอาจจะคิดว่าความร่ำรวยเงินทองคือ บ่อเกิดของความสุข แต่คุณจะมีความสุขกับเงินที่หามาได้อย่างไร หากสุขภาพไม่เอื้ออำนวย ต้องเข้าโรงพยาบาลไปพบหมอมากกว่าได้เดินทางไปแหล่งท่องเที่ยว สุขภาพจึงเป็นเรื่องที่เราจะต้องให้ความสำคัญทั้งสุขภาพกายและสุขภาพจิต ซึ่งก็สามารถทำได้ดังต่อไปนี้ 

 1.ทานอาหารให้ครบ 5 หมู่ และทานให้ตรงเวลาในทุก ๆ มื้อพยายามทานอาหารให้ครบทั้ง 5 หมู่อย่างพอเพียงตามความต้องการของร่างกาย และควรทานให้ตรงเวลาเป็นประจำทุกวัน โดยมื้อเช้าถือว่าเป็นมื้อที่สำคัญที่สุดจึงไม่ควรที่จะงด ส่วนมื้อเย็นควรทานแต่น้อยและไม่ควรทานหลัง 6 โมง เพราะหากทานดึกเกินไปใกล้เวลานอน อาจทำให้ร่างกายไม่ได้รับการพักผ่อนอย่างเต็มที่  

2.ดื่มน้ำให้เพียงพอ  พยายามดื่มน้ำให้ได้วันละ 8 แก้ว เพราะการดื่มน้ำอย่างพอเพียงมีประโยชน์ต่อร่างกายมากมาย ทั้งในเรื่องของสุขภาพและความสวยความงาม ไม่ว่าจะเป็นช่วยให้ระบบหมุนเวียนโลหิตเป็นไปอย่างปกติ ช่วยเผาผลาญไขมันในร่างกาย ช่วยให้ผิวมีความชุ่มชื่น ดูสดใสเปล่งปลั่ง  

3.ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ  ควรหาเวลาออกกำลังกายให้ได้อย่างน้อยสัปดาห์ละ 3-4 ครั้ง ครั้งละประมาณ 30 นาที นอกจากการออกกำลังกายจะช่วยให้สดชื่นผ่อนคลายแล้ว ยังช่วยให้กล้ามเนื้อมีความแข็งแรง ช่วยให้ปอดและหัวใจทำงานได้ดี อีกทั้งยังช่วยสลายไขมัน ซึ่งจะช่วยลดความอ้วนได้อีกด้วย

4.นอนหลับพักผ่อนอย่างพอเพียง  นอนหลับพักผ่อนให้ได้วันละ 6-8 ชั่วโมง การนอนหลับพักผ่อนอย่างพอเพียงไม่เพียงแต่ร่างกายจะซ่อมแซมตัวเองได้อย่างเต็มที่เท่านั้น แต่ยังทำให้ตื่นขึ้นมาพร้อมกับความสดชื่นแจ่มใส มีพลังในการทำงานและการใช้ชีวิต  

5.หลีกเลี่ยงพฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพ  เป็นที่รู้กันว่า การสูบบุหรี่และดื่มเหล้านั้นเป็นสาเหตุของการเกิดมะเร็งตับ มะเร็งปอด การหลีกเลี่ยงหรือพยายามลด ละ เลิก พฤติกรรมที่ส่งผลเสียต่อสุขภาพเหล่านี้จึงเป็นเหตุผลหนึ่งที่จะทำให้คุณมีสุขภาพดีขึ้น เพราะหากคุณไม่รับสารพิษเข้าสู่ร่างกายก็ย่อมเป็นการลดปัจจัยที่จะมาทำลายสุขภาพของคุณนั่นเอง 

 6.รักษาสุขภาพจิตให้ดี  การมีสุขภาพจิตที่ดีย่อมส่งผลให้สุขภาพร่างกายดีไปด้วย และการมีสุขภาพจิตที่ดีนั้นก็สามารถทำได้โดยการทำจิตใจให้ร่าเริงแจ่มใส มองโลกในแง่บวกอยู่เสมอ หากิจกรรมที่ชอบทำ ฝึกสมาธิปฏิบัติธรรม เป็นต้น  

7.ให้เวลากับคนในครอบครัว  ความสัมพันธ์ที่ดีภายในครอบครัว เป็นแหล่งที่มาอีกแห่งหนึ่งของความสุข การให้ความสนใจกับธุระการงานจนลืมที่จะแบ่งเวลาให้กับคนในครอบครัวย่อมทำให้ความสุขในครอบครัวลดน้อยลง ใส่ใจกับครอบครัวให้มากขึ้น สร้างความสมดุลให้กับชีวิตส่วนตัวและการทำงาน เท่านี้คุณก็หาความสุขได้ในทุก ๆ วันได้แล้ว  สุขภาพร่างกายที่แข็งแรงสมบูรณ์และการมีสุขภาพจิตที่ดี ไม่เพียงแต่จะทำให้คุณสามารถสัมผัสกับความสุขที่อยู่ตรงหน้าได้อย่างเต็มที่เท่านั้น แต่มันยังเป็นแหล่งกำเนิดของความสุขด้วยตัวของมันเอง และมันคงไม่ใช่เรื่องที่ยากลำบากอะไรถ้าคุณจะหันมาใส่ใจกับสุขภาพเสียแต่บัดนี้ เพื่อที่คุณจะได้มีความสุขได้มากขึ้นในทุกวันที่ผ่านไป


ความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยม